วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เศรษฐกิจไทยปี 54 ทรง หรือ ทรุด?

Dr Kriengsak Chareonwongsak
Senior Fellow, Harvard Kennedy School , Harvard University
kriengsak@kriengsak.com, kriengsak.com, drdancando.com


เศรษฐกิจไทยปี 54 คิดว่าก็ยังเจริญเติบโต แต่ชะลอตัวมาก เมื่อเทียบกับปีนี้ ปีนี้ 2553 เศรษฐกิจไทยน่าจะโตประมาณ 7.6 - 7.8% แถวๆ นี้ ปีหน้าน่าจะชะลออยู่ประมาณ 3 - 4% กว่าๆ ทำไมถึงบอกว่าชะลอตัว เพราะเห็นได้ว่าสัญญาณตัวเลขเศรษฐกิจทุกอย่างชะลอตัว ครึ่งปีแรก ปี 53 เศรษฐกิจไทยโตมากทีเดียว แล้วในสองไตรมาสสุดท้ายชะลอกว่าสองไตรมาสแรก โดยช่วงเดือนท้ายๆ เห็นชัดเช่นเดือนตุลา ตัวเลขล่าสุดที่ออกมาก็มีการเจริญเติบโตที่ช้าลง เมื่อเทียบกับก่อนหน้านั้น ดังนั้นเมื่อเทียบปีแรงเหวี่ยง ปีต่อปี ไตรมาสต่อไตรมาส เศรษฐกิจไทยโตช้าลง ดังนั้นจึงประมาณได้ว่าปีหน้าเศรษฐกิจไทยยังโตอยู่ เพราะว่ากระแสเศรษฐกิจโลกที่พุ่งถลามาทางเอเชียอุ้มเศรษฐกิจไทยไปพร้อมกัน กับเศรษฐกิจของภูมิภาคแถบนี้ อาเซียน จีน อินเดีย เป็นต้น


ที่มา http://www.drdancando.com

เศรษฐกิจไทยปี 54

ผมจึงเชื่อว่าเศรษฐกิจโตประมาณนี้คงโตได้อย่างที่บอกปีหน้า แต่มีสัญญาณการชะลอตัวในทุกตัวๆ โตแบบชะลอ ไม่ได้ชะลอแบบชะลอ โตแบบชะลอหมายความว่า เช่น การส่งออกเห็นชัดเลยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสท้ายๆ เริ่มช้าลงมาก เราเห็นตัวเลขการส่งออกไทยช่วงแรกๆ ครึ่งปีแรก ปี 53 ส่งออกประมาณ 45% ถ้าจำไม่ผิด ในเดือนท้ายๆ เหลือ 10 กว่า % นั่นแสดงว่าอาการการส่งออกจะช้าลง


แล้วถ้าส่งออกช้า เศรษฐกิจไทยโตไม่ทันการส่งออก ก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยโตช้าลง การลงทุนของภาคเอกชนก็ชัดว่านักลงทุนภาคเอกชนในเวลานี้แม้สถานการณ์เอื้อให้เขาควรจะลงทุนให้แล้ว เพราะว่ากำลังผลิตของเครื่องจักรทั้งหลายใช้ไปแล้ว 70 - 80% เป็นส่วนใหญ่โดยเฉลี่ย นั่นหมายความว่าถึงเวลาจะขยายการลงทุน สร้างเครื่องจักร สร้างโรงงานใหม่ก็จริง แต่ปรากฏว่าสิ่งที่เกิดขึ้นน่าสนใจมาก นักลงทุนเหยียบเบรกช้าลง ทำไมเป็นเช่นนั้น อาจเป็นเพราะว่านักลงทุนยังมองว่าปีหน้ายังไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร ความอึมครึมของสถานการณ์การเมือง จะยุบสภาเมื่อไหร่ เลือกตั้งมาแล้วใครจะเป็นรัฐบาล นโยบายจะเปลี่ยนหรือไม่ ก็ทำให้นักลงทุนโดยธรรมชาติเหยียบเบรก พอเหยียบเบรกก็จะไปมองประเทศอื่นที่เป็นคู่แข่ง ที่พอจะไปได้ ตรงนี้เป็นเหตุที่อยากบอกว่า ถ้ารัฐบาลอยากจะยุบสภาก็ต้องให้ชัดไปเลยว่ายุบเมื่อไหร่ นักลงทุนจะได้วางแผนได้ จะช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยไม่กระเทือนโดยไม่จำเป็น


แต่ถ้าเกิดว่าพูดคลุมเครืออย่างนี้เพื่อดูเกมการเมืองว่าจะยุบเมื่อไหร่ เพื่อได้ประโยชน์ ผมกลับคิดว่าทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบทางเศรษฐกิจ ผมอยากเห็นการประกาศชัดเจนว่าจะยุบสภาเมื่อไหร่ ตรงนี้จะช่วยให้นักลงทุนวางแผนได้ คำนวณเวลาได้ จัดการตัวเองได้ ดังนั้นเรื่องการลงทุนจะเป็นตัวสำคัญซึ่งจะเติบโตไม่แรงนักในบรรยากาศที่ผมเล่าเป็นตัวอย่าง
 
การบริโภคภาคเอกชน

เป็นการบริโภคที่จะต้องไปได้ไม่แรงนัก ชะลอตัวอยู่ สาเหตุมาจาก ในส่วนแรก ปัญหาเงินเฟ้อเกิดขึ้น กำลังแรงขึ้น หักลบกลบกลับแม้ว่าได้รายได้เพิ่ม เช่น ค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มประมาณ 8-10 บาท เฉลี่ยแล้วกว่า 11 บาท แต่หนุนให้เกิดการมีเงินในกระเป๋าไปใช้ของคนที่ได้เงินขั้นต่ำก็จริง หรือว่าค่าแรงของเงินเดือนข้าราชการก็ดีหรือนักการเมืองเพิ่มก็ดี คนเหล่านี้อาจจะใช้มากขึ้นก็จริง แต่ไปหักลบกลบกับเงินเฟ้อนั่นส่วนหนึ่ง อีกส่วนที่สอง ผมมีความรู้สึกว่าประชาชนยังไม่ค่อยมั่นใจว่าสถานการณ์อนาคตจะเป็นอย่างไร ตัวเลขการใช้เงินจึงไม่ได้รุนแรงเหมือนอย่างที่อยากที่จะเห็น


ฉะนั้นการบริโภคไม่ได้กระตุ้นอย่างรุนแรงนัก มันก็ไปตกอยู่ที่ตัวสำคัญตัวหนึ่งก็คือ การใช้จ่ายภาครัฐ เห็นชัดว่ารัฐบาลกระตุ้นอย่างแรง ตั้งงบประมาณขาดดุลค่อนข้างมาก จาก 2 ล้านล้าน งบประมาณแผ่นดินขาดดุลถึง 4 แสน 2 หมื่นล้าน นั่นหมายความว่าตั้งใจกระตุ้นเงินใช้จ่ายภาครัฐ และก็มีเงินไทยเข้มแข็งอีกประมาณ 2 แสนถึง 5 แสนล้าน ตรงนี้เองเป็นตัวที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามคงจะทำได้ถึงจุดหนึ่ง แบบที่เห็นเศรษฐกิจไทยปีหน้า คิดว่าโตประมาณ 3.5 – 4.7 % เป็นไปได้อยู่ที่สถานการณ์ นั่นคือสภาพที่เห็นอยู่ เราสมมติว่าราคาน้ำมันจะอยู่ในสถานะที่ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างผันผวนมาก เราสมมติว่าค่าเงินของเรานั้นจะอยู่ในสภาพที่ไม่สร้างปัญหาให้กับเรามากจนเกินไป ซึ่งก็คงอยู่ในสภาพที่พอรับได้
 
วันนี้อย่าดูระบบเศรษฐกิจที่ตลาดหลักทรัพย์เป็นหลัก ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีตัวเลขที่แสดงอาการพุ่งทะยานเป็นอันดับต้นๆ แต่มิได้หมายความว่านั่นคือสภาพจริงของเศรษฐกิจทั้งหมด เดี๋ยวจะต้องมีการปรับฐานในครึ่งปีแรก ตลาดหลักทรัพย์จะต้องปรับฐานพักหนึ่ง และก็ปรับกลับขึ้นไปใหม่ได้ แต่ต้องปรับลงอีกช่วงใดช่วงหนึ่ง ดังนั้นอย่าสนใจเรื่องตลาดหลักทรัพย์เป็นหลัก แม้ว่าตลาดหลักทรัพย์จะสะท้อนภาพจริงระยะยาว แต่ระยะสั้นไม่ใช่ ผมจึงอยากฝากว่าสิ่งที่เราต้องคำนึงมากๆ ไม่ใช่เรื่องอาการเศรษฐกิจว่าตัวเลขโตไม่โตเท่านั้น ต้องดูเรื่องอื่นอีกหลายเรื่อง ระยะยาวเศรษฐกิจไทยสามารถต่อสู้ได้หรือไม่ แข็งแกร่งหรือไม่ และตรงนี้คือหน้าที่รัฐบาลทุกรัฐบาลต้องคำนึงมาก


ผมกังวลมากเมื่อฝ่ายการเมืองทุกพรรคที่มาเป็นรัฐบาลมักจะสนใจเรื่องการเลือกตั้ง จึงปั๊มเศรษฐกิจแรงโดยใช้เงินอัดลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคนี้จะเห็นประชานิยมเต็มรูปแบบใส่ลงไปมากที่สุดกว่าครั้งใดๆ ผมกังวลว่าถ้าเราคิดในสไตล์นี้ ต่อไปเศรษฐกิจไทยจะไม่มีใครดูแลภาพระยะยาวอย่างแท้จริง ก็จะอ้างเรื่องโครงสร้างพื้นฐานเล็กๆ น้อยๆ ไปบ้าง แต่จริงๆ แล้วเงินเรามีไม่เยอะพอ เพราะว่าเงินของเราเหลือ 10 กว่า % เท่านั้น ที่เอาไว้ใช้ลงทุน ที่เหลืองบแผ่นดินใช้เป็นเงินเดือนประจำบ้าง และ 10 กว่า % นี้ มีเงินอยู่นิดเดียวเท่านั้นเองที่จะใช้ในการลงทุน และเราจะทำอย่างไร ถ้า 10 กว่า % นั้น รั่วไหลไปประมาณ 30 % ถ้าพูดตามประธานหอการค้าพูดว่ามีคอร์รัปชั่นไป 30 % หมายถึงเงินเหลืออยู่นิดเดียวในการจะไปลงทุนระยะยาว


ผมกังวลว่าวิธีการจัดการบ้านเมืองโดยพรรคการเมืองปัจจุบัน ทุกพรรคที่ทำกันมา และถ้ายังปล่อยการเมืองเป็นน้ำเน่าอย่างนี้อยู่ บ้านเมืองจะถอยหลังเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ไม่ได้บินถอยหลังเหมือนเครื่องบินบินถอยหลัง บินไปข้างหน้า แต่บินไปข้างหน้าช้าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เห็นชัดๆ เราพ่ายแพ้ทุกประเทศรอบข้างหมดแล้ว ในอดีตไกลๆ พอใกล้จะสู้ญี่ปุ่นได้เมื่อยุคเก่าโบราณ เมื่อก่อนชนะเกาหลี จนแพ้เกาหลี เมื่อก่อนชนะไต้หวัน จนแพ้ไต้หวัน เมื่อก่อนเรารวยกว่าสิงคโปร์ตอนนี้สิงคโปร์รวยกว่าเรา 10 กว่าเท่า เมื่อก่อนเรากับมาเลเซียพอฟัดพอเหวี่ยง เดี๋ยวนี้มาเลเซียทิ้งเราขาด และทีนี้จะไปแข่งกับเวียดนามมันก็ถอยหลังตลอด เพราะการเมืองที่ไม่ดูแลเศรษฐกิจ ผมอยากฝากว่าจำเป็นที่ต้องได้รัฐบาลที่ดี ที่สนใจภาพอนาคตของประเทศ ที่มีวิสัยทัศน์ ต้องระมัดระวังการทำการเมืองสไตล์น้ำเน่า เป็นการเมืองสไตล์ลดแลกแจกแถม ประชานิยม ทุ่มเทจ่ายเงินราคาถูก เพื่อหวังจะได้คะแนนเสียง เรื่องนี้เป็นเรื่องอันตรายและเรื่องคอร์รัปชั่นต้องเลิก ไม่เลิกประเทศไทยจะมีปัญหาร้ายแรง

ที่มา www.drdancando.com

1 ความคิดเห็น: