จากสถิติการอ่านหนังสือของคนไทย ในปี 2546 พบว่า มีคนไม่อ่านหนังสือมากถึงร้อยละ
40 ของประชากรทั้งหมดหรือเท่ากับ 22.4 ล้านคน
และในส่วนที่คนอ่านหนังสือมากกว่าครึ่งอ่านหนังสือพิมพ์รองลงมาเป็นหนังสือที่ให้ความบันเทิงเป็นหลัก
ส่วนหนัง สือประเภทให้ความรู้ยังมีผู้นิยมอ่านน้อย เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่มีวัฒนธรรมรักการอ่าน
การเขียน เรามีวัฒนธรรมการพูด การฟัง หนังสือในบ้านเราจึงไม่ได้รับความนิยมเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือแม้แต่เวียดนาม
คนในประเทศเหล่านี้มีนิสัยรักการอ่านมากกว่าเรา
ลองคิดดู..คนที่มีสติปัญญา มีความคิดความอ่านลึกซึ้ง
อุตส่าห์ทุ่มเทเวลาและความอุตสาหะผลิตผลงานทางความคิดออกมา จัดพิมพ์เป็นหนังสือ
ขายเล่มละ 200 บาท คนบอกว่าแพง เอาเงินไปซื้อเสื้อผ้าดีกว่า ตัวละ 199 บาท
เหลือเงินทอนอีกตั้ง 1 บาท นี่แสดงว่าไม่เห็นคุณค่าทางปัญญา ผมลองพยายามผลักดันค่านิยมรักการอ่านให้กับคนในสังคมมาโดยตลอด
อาทิ ในหนังสือกรุง เทพเมืองน่าอยู่ ผมได้นำเสนอแนวคิดว่า เราต้องพัฒนากรุงเทพฯ
ให้เป็นเมืองต้นแบบ คนมีวัฒนธรรมรักการอ่าน
และได้เขียนหนัง สือสอนลูกรักเป็นนักอ่าน
เพื่อส่งเสริมให้ทุกครอบครัวปลูกฝั่งวัฒนธรรมการอ่านให้ลูกหลาน
หากคนในสังคมให้ความสำคัญกับการแสวงหาความรู้
การเพิ่มพูนสติปัญญา แวดวงคนอ่านหนังสือจะขยายจำนวนขึ้น ส่งผลให้ตลาดเติบโตขึ้น
ย่อมเป็นแรงจูงใจให้นักเขียนทุ่มเทกำลังกาย ใจ และสติปัญญา เพื่อผลิตผลงานคุณภาพออกมามากขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ นักเขียนอาจจะพอมีโอกาสมีรายได้อย่างดีเหมือนต่างประเทศ
เมื่อนักเขียน “มีสิทธิรวย” สิ่งที่ตามมาคือ
การแข่งขันผลิตผลงานคุณภาพออกสู่ตลาด ส่งผลให้ทางเลือกหนังสือดีๆ
ของผู้บริโภคย่อมมีเพิ่มขึ้น และเมื่อผู้อ่านบริโภคหนังสือดี มีคุณภาพ
สิ่งที่จะได้เกิดขึ้น คือ คุณภาพทางปัญญาของคนในประเทศย่อมได้รับการยกระดับขึ้น
ส่งผลให้โอกาสที่เราจะก้าวให้ทันประชาคมโลกย่อมเป็นไปได้ โดยไม่ต้องพึ่งความเอื้ออาทรจากรัฐบาลตลอดเวลา
Dr
Kriengsak Chareonwongsak
Senior Fellow, Harvard Kennedy
School , Harvard University
kriengsak@kriengsak.com,
kriengsak.com, drdancando.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น